CCP เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2567 โตต่อเนื่อง เร่งส่งมอบงานภาครัฐ-เอกชน รับรู้รายได้เพิ่ม เดินเครื่องระบบการผลิต เครื่องจักรนวัตกรรมใหม่ ลดต้นทุน แรงงาน หนุนกำลังการผลิตแตะ 10% ลุยเข้าประมูลงานภาครัฐ-เอกชนทั่วประเทศ เติม Backlog ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท เล็งขยายธุรกิจกลุ่มโลจิสติกส์รับดีมานด์ หนุนรายได้โตตามเป้า 3,300 ล้านบาท ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 รายได้รวม 1,449.57 ล้านบาท กำไรสุทธิ 35.10 ล้านบาท
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2567 แนวโน้มดี รับอานิสงค์จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ ที่เร่งส่งมอบงานตามการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 อีกทั้ง ปัจจัยบวกการลงทุนของผู้ประกอบการต่างประเทศในหลายอุตสาหกรรม ที่ต้องการย้ายฐานการผลิต เพื่อเลี่ยงสงครามการค้าและการเข้มงวดในประเทศ เช่น จีน เป็นต้น
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง 2567 บริษัทได้ปรับปรุงเครื่องจักร โดยนำเทคโนโลยีเพื่อช่วยลดแรงงาน ลดต้นทุนการผลิต และขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นที่ 10% เสริมศักยภาพการแข่งขัน ควบคู่กลยุทธ์ บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ควบคุมต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับเหมาะสม
นอกจากนี้ เดินหน้าประมูลงานภาครัฐ-เอกชนจากทั่วประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานทางหลวงระหว่างเมือง เส้น 7 สนามบินอู่ตะเภา เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท รวมถึง ยังคงมองหาโอกาส สร้างการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ ให้ครอบคลุมความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของลูกค้าในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC ) อีกทั้ง บริษัทจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า บริษัท ชาลี ท็อป โลจิสติกส์ โซลูชัน จำกัด ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการบริหารจัดการคลังสินค้า ในช่วงปลายไตรมาส 2/2567 ผลักดันรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 3,300 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้รวม 1,449.57 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 35.10 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 มีรายได้รวม 697.34 ล้าน และมีกำไรสุทธิ 7.7 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการโดยรวมปรับตัวลดลงเล็กน้อย เป็นผลจากงานโครงการภาครัฐ และภาคอสังหาฯ ชะลอการก่อสร้าง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากฤดูกาลฝนตกชุก ซึ่งเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงมีคำสั่งซื้อจากกลุ่มงาน นิคมอุตสาหกรรม และภาคการผลิต เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ การดำเนินงานในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ รวมถึงแนวทางแก้ปัญหาการย้ายฐานการผลิตของจีน ที่เข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบในอนาคต โดยบริษัทเตรียมปรับแผนการดำเนินงาน เพื่อรองรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง ” นายอาทิตย์ กล่าว