โชว์พลังความเข้าใจผู้บริโภคผ่านการขายแบบไฮบริดอีเวนท์ “โปรแร๊ง เกินปุยมุ้ย”
“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” โชว์ความสำเร็จหลังออกอีเวนท์มหกรรมคอนโดครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “โปรแร๊ง เกินปุยมุ้ย” ณ สยามพารากอน กวาดยอดขายคอนโดกว่า 458 ล้านใน 4 วัน ชูแนวคิดการตลาดแบบไฮบริดจ์ ควบคู่โครงการคุณภาพ-ราคาเข้าถึงได้ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคเปิดเมือง เดินหน้าการตลาด 360 องศา หวังหนุนยอดขายทั้งปีทะลุ 35,000 ล้านตามเป้า
นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียม ในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI กล่าวว่า จากการจัดงานมหกรรมคอนโดมิเนียมครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี ภายใต้ชื่อ “โปรแร๊ง เกินปุยมุ้ย” ในวันที่ 9-12 มิ.ย.65 ณ ลานแฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยยกทัพคอนโดมิเนียมในเครือทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำนวน 21 โครงการ ร่วมออกงาน บริษัทได้รับกระแสตอบรับอย่างยอดเยี่ยม จากทุกกลุ่มผู้บริโภค ทั้งกลุ่มที่มองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพพร้อมอยู่ และกลุ่มนักลงทุนระยะยาวในรูปแบบ investment program โดยมียอดขายจากกิจกรรมในช่วง 4 วันอยู่ที่ 458 ล้านบาท
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปีที่เรากลับมาจัดอีเวนท์ใหญ่แบบ On-site ด้วย เพราะเราตระหนักดีว่า ผู้บริโภคส่วนหนึ่งต้องการการกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติในยุคเปิดเมือง ขณะเดียวกัน เราก็ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคอีกส่วนหนึ่งที่คุ้นเคยกับพฤติกรรม Next Normal ทำกิจกรรมซื้อขายสินค้าทุกอย่างบนออนไลน์ ออริจิ้น ในฐานะองค์กรคนรุ่นใหม่ จึงทำให้งานมหกรรมโปรแร๊ง เกินปุยมุ้ย เป็นมหกรรมแบบไฮบริด ที่มีกิจกรรมทั้งแบบ On-site และ Live สดจากงานผ่านออนไลน์ ส่งผลให้โครงการของเราสามารถเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม และได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับปัจจัยบวกสู่ความสำเร็จในยุคเปิดเมือง นอกจากปัจจัยหนุนจากภายนอกอย่าง มาตรการผ่อน LTV จาก 90% เป็น 100% สำหรับที่อยู่อาศัยหลังที่ 1 ที่มีราคา (มูลค่าหลักประกัน) มากกว่า 10 ล้านบาท และราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สำหรับที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 เป็นต้นไปแล้ว โดยมาตรการนี้จะสิ้นสุดปี 2565 ปัจจัยหนุนภายในถือเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ นั่นคือ การนำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพ หลากทำเล ในราคาที่เข้าถึงได้ โดย 21 โครงการของบริษัทที่นำมาออกงาน มีการกระจายตัวอยู่ในหลากหลายทำเล หลากหลายเซ็กเมนท์ ครอบคลุมลูกค้า Gen Y, Gen Z, สตาร์ทอัพ, คนรักสัตว์เลี้ยง (Pet Lover), คนทำงานใน EEC, นักลงทุนระยะยาว มหกรรม “โปรแร๊ง เกินปุยมุ้ย” จึงเป็นกุญแจสำคัญช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโครงการของบริษัทได้ง่าย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การจัดมหกรรมแบบ On-site ยังถือเป็นการช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Brand Engagement) ทั้งแบรนด์ของบริษัทและแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ๆ ผ่านหลากกิจกรรมในงาน ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคที่มาจับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้า รู้จัก มีส่วนร่วม และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น และเป็นการเติมเต็มการตลาดของเครือออริจิ้นให้ครบ 360 องศา
ที่ผ่านมา บริษัทให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดผ่านทั้งช่องทางการขายดั้งเดิมและช่องทางการขายใหม่ๆ อาทิ การจับมือกับ AIS พัฒนาช่องทางการขายในโลกเสมือนในแพลตฟอร์มhttps://v-avenue.co และจัดโปรโมชั่นมอบสิทธิพิเศษ ไปจนถึงโครงการที่อยู่อาศัยราคาพิเศษให้แก่ลูกค้าของ AIS บริษัทจะยังคงเดินหน้ามองหาช่องทางการตลาดและการขายรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคแห่งอนาคต ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าในทำเลใหม่ๆ และเซ็กเมนท์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง สมฐานะหนึ่งในผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมของปี 2565 คาดว่าธุรกิจคอนโดมิเนียมจะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายได้ทะลุ 35,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 101 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 154,100 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร