ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมชงผู้ถือหุ้นจ่ายปันผลรอบครึ่งปีหลัง 2566 อีก 0.3 บาท/หุ้น หลังผลการดำเนินงานทั้งปี 2566 กวาดรายได้ทะลุ 15,157 ล้าน หนุน Dividend Yield ทั้งปีทะลุ 6% ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 พฤษภาคม นี้ กางแผนเปิดโครงการทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมปี 67 รวม 35 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 37,000 ล้าน กระจายพอร์ตเมืองท่องเที่ยวและเมืองศักยภาพทั่วประเทศ พร้อมส่งคอนโด Pet Family บุกกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ครึ่งปีแรกนำร่อง 13 โครงการ 17,780 ล้าน เน้นแบรนด์เจาะตลาดกลาง-บน

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลจากกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร ณ 31 ธันวาคม 2566 และกำไรสุทธิของงบเฉพาะกิจการสำหรับงวด 6 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท หรือคิดเป็นเงินไม่เกิน 736.2 ล้านบาท เมื่อรวมกับการจ่ายปันผลระหว่างกาลก่อนหน้านี้ หุ้นละ 0.16 บาท สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 หรือคิดเป็นเงิน 392.7 ล้านบาท รวมเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 1,128.9 ล้านบาทส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีจ่ายปันผลคิดเป็น Dividend Yield กว่า 6% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่ 7.6 บาทต่อหุ้น โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค. 2567 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 9 พ.ค. 2567 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 23 พ.ค. 2567 นี้

“สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 เผชิญความท้าทายหลายอย่าง ทั้งการชะลอการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สงครามระหว่างประเทศ กลายเป็นปัจจัยทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ส่งผลถึงเศรษฐกิจไทย ตลอดจนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี ด้วยความมุ่งเน้นพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ พร้อมฟังก์ชันที่มีนวัตกรรม ส่งผลให้บริษัทสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในปีที่แล้วไปได้ถึง 4 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 4,500 ล้าน ดันกวาดยอดขายรวมได้กว่า 47,267 ล้านบาท จากการกระจายพอร์ตฟอลิโอในหลายทำเล ทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดอุตสาหกรรมสำคัญ โดยภาพรวมบริษัทมีรายได้รวมกว่า 15,157 ล้าน และมีกำไรสุทธิ 2,718 ล้าน” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับโครงการร่วมทุน (Joint Venture) ในปี 2566 บริษัทและบริษัทย่อยได้มีการร่วมพัฒนาโครงการร่วมทุนใหม่ สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรมและพื้นที่ให้เช่า และ คลังสินค้า รวมทั้งสิ้น 61 โครงการ มูลค่า 72,362 ล้านบาท และยังมี 4 โครงการคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ปี 2566 ที่สามารถปิดการขาย (Sold Out) ภายในปีที่เปิดตัว ได้แก่ 1.ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin Place Phetkasem) 2.ออริจิ้น เพลส พหล 59 สเตชั่น 3.โซ​ ออริจิ้น ศิริราช (SO Origin Siriraj) และ 4.ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (The Origin Centre Phuket) สะท้อนถึงความเข้าใจ Customer Insight ของลูกค้าในทำเลใหม่ๆ ที่บริษัทเพิ่งเข้าไปรุกตลาดเป็นครั้งแรก เช่น เพชรเกษม ศิริราช และภูเก็ต นอกจากนี้ 2 ใน 4 โครงการดังกล่าว เป็นโครงการคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ สะท้อนถึงการเติบโตของกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง และกำลังซื้อในเซ็กเมนท์ดังกล่าวที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน

นายพีระพงศ์​ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นั้น กลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยเซ็กเมนท์ต่ำกว่า 3 ล้าน ยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์หนี้ครัวเรือน และมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่าเซ็กเมนท์อื่นๆ ตลาดที่ยังโดดเด่นและมีความแข็งแกร่งในปีนี้ คือกลุ่มตลาดระดับไฮเอนด์จนถึงลักชัวรี่ขึ้นไป กลุ่มตลาดที่มีลักษณะเฉพาะทาง แต่กำลังซื้อยังแข็งแกร่ง อย่างตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง กลุ่มตลาดเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีความต้องการซื้อทั้งจากคนท้องถิ่น คนเข้าไปทำงาน และคนต่างชาติ

ในปี 2567 บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 35 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 37,000 ล้านบาท หากแบ่งตามประเภทโครงการ ประกอบด้วย 1.บ้านจัดสรร ภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,000 ล้านบาท 2.คอนโดมิเนียม ภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL จำนวน 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดย หากแบ่งตามทำเลที่ตั้งโครงการ แบ่งเป็น กรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 52% และจังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ และจังหวัดอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ ชลบุรี พัทยา ภูเก็ต ขอนแก่น ประมาณ 48%

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในแถบกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะยังคงเดินหน้าขยายอาณาจักร Origin Pet Family อย่างต่อเนื่อง ตอบรับการเติบโตของกลุ่มคนโสดที่มีรายได้ แต่ไม่มีลูก (Single Income No Kids หรือ SINKs) และกลุ่มคู่รักที่มีรายได้ทั้งคู่แต่ไม่มีลูก (Double Income No Kids หรือ DINKs) ที่หันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกมากขึ้น และตอกย้ำฐานะผู้นำโครงการคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้สะสมมากที่สุดในตลาด

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 นี้ บริษัทจะนำร่องเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,780 ล้านบาท เน้นแบรนด์คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ขึ้นไปอย่าง โซ ออริจิ้น (So Origin) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และแบรนด์บ้านจัดสรรระดับไฮเอนด์และลักชัวรี่ขึ้นไปอย่าง แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) และ เบลกราเวีย (Belgravia) ประกอบด้วย 1.โซ​ ออริจิ้น บางเทา บีช ภูเก็ต (So Origin Bangtaok Beach Phuket) 2.ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) 3.ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) 4.ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) 5.ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น (The Origin Setthabut Station) 6.ดิ ออริจิ้น ศรีราชา เฟส2 (The Origin Sriracha Phase2) 7.เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5 (Belgravia Exclusive Ratchaphruek-Rama 5) 8.เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ปิ่นเกล้า – บรมราชชนนี (Belgravia Exclusive Pinklao-Boromrajonani) 9.แกรนด์ บริทาเนีย พระราม 9-มอเตอร์เวย์ (Grand Britania Rama 9-Motorway) 10.แกรนด์ บริทาเนีย ระยอง (Grand Britania Rayong) 11.บริทาเนีย เวสต์เกต (Britania Westgate) และ 12.บริทาเนีย ราชพฤกษ์ 345 (Britania Ratchaphruek 345) และ 13.ดุสิต สวีท เรสซิเดนซ์ เขาใหญ่ (วิลล่า เขาใหญ่) (Dusit Suites Residence Khaoyai)

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 159 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 243,209 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร