โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ เดินหน้าปรับโฉมครั้งประวัติศาสตร์หลังเปิดให้บริการมากว่า 4 ทศวรรษ ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,600 ล้านบาท (50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อยกระดับการบริการและประสบการณ์การเข้าพักให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

การปรับโฉมแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในพฤศจิกายน 2568 ครอบคลุมห้องพักใหม่หลายประเภท ตั้งแต่ห้องมาตรฐาน ห้องสวีท ห้องการ์เด้นพูลวิลล่า พร้อมสระส่วนตัว ไปจนถึงโซนฟิตเนสและสระว่ายน้ำที่ออกแบบให้เป็นโอเอซิสกลางเมือง ขณะที่ระยะที่สองจะเริ่มในพฤษภาคม–กันยายน 2569 ครอบคลุมล็อบบี้ ห้องจัดเลี้ยง และโซนปาริชาติคอร์ท
หัวใจสำคัญของการปรับโฉม คือการส่งมอบประสบการณ์เวิลด์คลาสที่เชื่อมโยงกับมรดกไทยอย่างกลมกลืน ผ่านกิจกรรมเฉพาะ เช่น ตักบาตรเช้า เวิร์กชอปหัวโขน คลาสทำอาหารไทย และพิธีสักยันต์ เพื่อให้แขกได้สัมผัส “ไทยทัช” อย่างแท้จริง

มร. ทอร์สเทน ริชเตอร์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอนันตรา สยาม กล่าวว่า การพลิกโฉมครั้งนี้คือก้าวสำคัญในการต่อยอดความสำเร็จของโรงแรมในรอบกว่า 40 ปี พร้อมนำเสนอตำนานบทใหม่ที่จะตราตรึงใจนักเดินทางทั่วโลก และสร้างสัญลักษณ์ความหรูหราของไทยสู่อนาคต
โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2521 ในนามโรงแรมบางกอกเพนนินซูล่า โดยระยะแรกก่อตั้งมีธนาคารกสิกรไทย, สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมรีเจนท์ กรุงเทพ ในปี พ.ศ. 2525
ในปี พ.ศ. 2544 ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เข้ามาถือหุ้นเต็ม 100% ในโรงแรมดังกล่าว และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ ราชดำริ ในปี พ.ศ. 2546 ต่อมาในปี พ.ศ. 2558 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบัน โดยถือเป็นโรงแรมระดับเรือธงของแบรนด์อนันตราในประเทศไทย

ความโดดเด่นแต่แรกเริ่มอีกประการของโรงแรมแห่งนี้คือ ภาพวาดฝาผนังชิ้นใหญ่ที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ ซึ่งเป็นภาพวาดที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของความเป็นไทยได้อย่างดีเยี่ย,
ด้วยเรื่องราวของช่วงการสถาปนา กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงและการก่อตั้งราชวงค์จักรี เป็นผลงานจาก’ท่านกูฎ’ ไพบูลย์ สุวรรณกูฎ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มในผลงานชิ้นนี้และถือเป็นศิลปินไทยหัวก้าวหน้ารุ่นแรกๆ ที่ทำงานศิลปะไทยร่วมสมัย ในยุคนั้น และด้วยชิ้นงานที่มีขนาดกว่า 100 ตร.ม. ผลงานชิ้นนี้จึงใช้เวลานานในการทำ
แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ ท่านกุฎ ไม่ได้มีโอกาสชมผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ด้วยตัวเอง เหตุเนื่องจากอาการป่วยอย่างหนักหลังจากที่ท่านได้เริ่มผลงานชิ้นนี้ได้ 6 เดือนจึงทำให้ท่านกูฎจากไปอย่างกระทันหัน
แต่สุดท้ายแล้วผลงานชิ้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยคุณภาพตะวัน สุวรรณกูฏ ซึ่งเป็นลูกสาวของท่านกูฎผู้ซึ่งมีความเข้าใจผลงานของคุณพ่อเป็นอย่างดีจึงทำให้สามารถต่อยอดผลงานชิ้นนี้จนเสร็จสมบูรณ์ได้ในที่สุด










