มินิ ประเทศไทย หลังจากได้เปิดตัว MINI Electric รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของมินิแล้ว โดยมีให้เลือกเพียงรุ่นเดียว คือ MINI Cooper SE ในโฉมตัวถังแบบ F56 ที่ให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาอย่างสมน้ำสมเนื้อ กับราคาค่าตัว 2,290,000 บาท

MINI Cooper SE เป็นมินิพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ใช้พื้นฐานของตัวถัง Hatch 3 ประตู (F56) ด้วยการเปลี่ยนชุดขับเคลื่อนจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาป มาเป็นชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ โดยยังคงคาแรคเตอร์ของการเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าตามสไตล์มินิเช่นเดิม ตัวเลขความแรงถูกเคลมอยู่ที่ 135kW / 184 แรงม้า แรงบิด 270Nm และสามารถเร่งจาก 0-100km/h ได้ในระยะเวลา 7.3 วินาที

ในส่วนของแบตเตอรี่ MINI ได้ออกแบบให้อยู่บริเวณใต้ท้องรถ แบ่งออกเป็นทั้งหมด 12 โมดูล เรียงกันเป็นตัว T ตั้งแต่แกนกลางของรถ ไปจนถึงหัวตัว T ที่อยู่ใต้เบาะที่นั่งแถวหลัง มีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 93.2Ah / 32.6kWh เคลมระยะทางการวิ่งได้ราว 235-270km ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และตัวรถมีน้ำหนักรวม 1,365kg ซึ่งหนักกว่า MINI Cooper S รุ่นเครื่องยนต์สันดาปปกติเพียง 145kg เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ ตัวแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักมาก อยู่บริเวณฐานของตัวรถ ส่งผลให้จุดศูนย์ถ่วงหรือ CG (Center of Gravity) ของตัวรถ อยู่ต่ำกว่า Cooper S ปกติถึง 30mm (ถือว่าไม่น้อยเลย) ทำให้รถเกาะถนนกว่าเดิม ขับสนุกกว่าเดิม เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ตอกย้ำคาแรคเตอร์การขับขี่แบบ Go-kart feeling ได้มากกว่าเดิม

การชาร์จ Mini Cooper SE สามารถทำได้ทั้งแบบ AC กระแสสลับ ด้วย Wall Charge มาตรฐานที่ติดตามบ้านหรือตู้ชาร์จสาธารณะทั่วไปได้เลย ซึ่งหากใช้เครื่องชาร์จที่มีกำลัง 11kW ก็จะสามารถชาร์จจาก 0-80% ได้ในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง และเต็ม 100% ใน 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าใช้เครื่องชาร์จที่มีกำลังน้อยกว่านี้ ก็จะเพิ่มระยะเวลาในการชาร์จขึ้นไปอีกพอสมควร  ตัวรถยังรองรับ DC Fast Charge กระแสตรงด้วย โดยรองรับสูงสุดที่กำลัง 50kW สามารถชาร์จจาก 0-80% ได้ภายใน 35 นาที และเต็มร้อยภายในเวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง

Cooper SE  2022

มินิเสริมทัพ Electric Collection Edition 40 คัน เคาะราคา 2.459 ล้านบาท

โดดเด่นด้วยหลังคาสีมัลติโทน  หัวใจการขับเคลื่อนไม่ต่างจากรุ่นมาตรฐาน อัพค่าตัวขึ้นเล็กน้อยแลกความเด่นบนถนน

MINI (มินิ) ประเทศไทย หนึ่งในผู้นำด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัว MINI Cooper SE (มินิ คูเปอร์ เอสอี) ในประเทศไทยด้วยค่าตัว 2.29 ล้านบาท และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้มีการเดินหน้าอัพเกรดสินค้าใหม่กันอย่างต่อเนื่อง

และล่าสุด ได้เปิดตัว MINI Electric Collection Edition ซึ่งมาพร้อมความพิเศษด้วยหลังคาสีมัลติโทน ซึ่งเป็นครั้งแรกของการออกแบบรถยนต์ที่มาพร้อมสีหลังคาแบบพิเศษ และยังมาพร้อมสีตัวถังใหม่ 2 สี ได้แก่ สีเทา รูฟท็อป และสีน้ำเงินไอซ์แลนด์

การผสานการออกแบบอันโดดเด่น เข้ากับประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ด้วยพลังงานสะอาดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 100% คอลเลคชั่นพิเศษนี้มีเข้ามาในประเทศไทยเพียง 40 คันเท่านั้น ด้วยค่าตัว 2.459 ล้านบาท พร้อมแพคเกจ MSI แบบมาตรฐาน

เทคนิคการทำสีที่โดดเด่นจากโรงงานออกซ์ฟอร์ด

หลังคาแบบ Multitone roof นั้น เป็นเทคนิคการทำสีแบบใหม่ที่โรงงานออกซ์ฟอร์ดของมินิ เริ่มจากการลงสีอ่อนอย่างสีฟ้า Pearly Aqua เป็นสีแรก จากนั้นจึงใช้สีน้ำเงิน San Marino Blue แต่งแต้มบริเวณด้านหน้าของหลังคาและสีดำ Jet Black ที่ด้านหลัง ทำให้เกิดการไล่สีที่มีลักษณะพิเศษ และรถยนต์แต่ละคันจะมีหลังคาที่มีสีที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง จากขั้นตอนการผลิตที่ทำให้เกิดความโดดเด่นแตกต่างกันไป

หัวใจไฟฟ้าเหมือนรุ่นมาตรฐาน

มินิไฟฟ้ารุ่นล่าสุดยังให้สมรรถนะและการขับขี่ที่ไม่แตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร พร้อมทำความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.3 วินาที รองรับการชาร์จไวที่ 50 กิโลวัตต์ได้จนเต็มภายใน 36 นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ และมีอัตราการกินไฟเฉลี่ย 17 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร

MSI Standard Package ดูแลนาน 4 ปี

มินิทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยจะมาพร้อมแพคเกจดูแลรักษาและซ่อมบำรุงแบบมาตรฐาน ที่จะมาพร้อมการดูแลคลอบคลุมระยะเวลา 4 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง และลูกค้าสามารถเลือกซื้อแพคเกจเพิ่มได้ โดยเลือกแพคเกจเพิ่มเป็น 6 ปีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะเลือกขยายเวลาเป็น 6 ปีเพื่อความอุ่นใจในการใช้งานกันไปยาว ๆ ก็จะต้องจ่ายเพิ่มอีก 1.2 แสนบาท ซึ่งคุ้มค่ากว่าการซื้อแยกหรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเองอย่างแน่นอน

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

สนใจสอบถามตัวแทนจำหน่ายมินิทั่วประเทศ

http://www.mini.co.th/

โทร 1397