แสนสิริเผยผลงานครึ่งแรกปี 66 แข็งแกร่งด้วย ยอดขาย 25,000 ล้านบาท โต 37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 18,300 ล้านบาท ปลื้มโครงการระดับลักซ์ชัวรี เปิดตัวใหม่ทั้ง 3 แบรนด์ ได้รับการตอบรับสูง ทั้งนาราสิริ พหล-วัชรพล บูก้าน กรุงเทพกรีฑา และเศรษฐสิริ ดอนเมือง พร้อมเปิดตัวเศรษฐสิริ 10 โครงการใหม่ปีนี้ มูลค่ารวม 21,900 ล้านบาท เผยคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับดีเกินคาด ส่งผลยูนิตสร้างเสร็จพร้อมขาย (Stock) คงเหลือเพียง 8,100 ล้านบาท จาก 11,000 ล้านบาท ในต้นปี ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัว ของตลาดคอนโดมีเนียม ระบุปลอดหนี้ธนาคารในโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน พร้อมตุนกระแสเงินสดจากการโอนโครงการต่างๆ ต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดลงทุนโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง


 

นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกของปี 2566 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับแสนสิริอย่างมาก จากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี แสนสิริ มองล่วงหน้าถึงสถานการณ์และมีความพร้อมรองรับความผันผวนของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ไว้แล้ว จึงวางกลยุทธ์ต่างๆ ตามความเหมาะสม ส่งผลให้สามารถสร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยในครึ่งปีแรก แสนสิริสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 25,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยโครงการเปิดตัวใหม่ ทำยอดขายดีเกินคาดในทุกโครงการ นำแชมป์ด้วยโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี อย่างนาราสิริ พหล -วัชรพล และ บูก้าน กรุงเทพกรีฑา ที่สามารถสร้างยอดขายได้ดีมาก ต่อยอดความสำเร็จจากการส่งมอบบ้านเดี่ยวในระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรีจากแสนสิริ ในโครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และบูก้าน โยธินพัฒนา ซึ่ง Sold out ปิดการขายอย่างรวดเร็ว ในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้จากความต้องการบ้านในระดับลักซ์ชัวรี ที่ยังมีดีมานต์อยู่มาก ประกอบกับกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อต่อเนื่อง ทำให้ทั้ง 2 โครงการ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ เดินทางสะดวก ได้ผลตอบรับที่ดี รวมถึงโครงการเศรษฐสิริ ดอนเมือง ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามบินดอนเมืองและใกล้โรงเรียนนานาชาติ ฮาร์โรว์ ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาดเช่นกัน นอกจากนี้ล่าสุดแสนสิริได้เปิดตัว แคมปัส คอนโด ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โครงการ ดีคอนโด ไฮป์ รังสิต ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่ามียอดจองแล้วถึง 80% แสดงให้เห็นว่าครึ่งแรกของปีนี้โครงการเปิดใหม่ได้รับผลตอบรับที่ดีในทุกโครงการ รวมถึงโครงการแนวราบอีกหลายโครงการ เช่น สราญสิริ ราชพฤกษ์ 345 และ อณาสิริ ศรีนครินทร์-แพรกษา เป็นต้น

ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ หรือ Ready to Move เริ่มกลับมาขายดี สะท้อนให้เห็นว่าตลาดคอนโดมิเนียมกำลังกลับมาหลังจากช่วงก่อนโควิดและหลังโควิดมีการดูดซับช้าลง ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีกับตลาดคอนโดมิเนียมเป็นอย่างมาก เนื่องจากคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่เป็นตัวชี้วัดที่ดีในตลาด Real Demand เพราะกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือปล่อยเช่า ไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือมีดีมานด์เทียมในยอดขายของคอนโดมิเนียมกลุ่มดังกล่าว โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาแสนสิริสามารถทำยอดขายได้ดี จนทำให้ยูนิตสร้างเสร็จพร้อมขาย (Stock) ของคอนโดมิเนียมลดลงเหลือเพียง 8,100 ล้านบาทจากStock ในต้นปีที่ 11,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าแสนสิริมี Absorption ที่ดีที่สุดในตลาด สำหรับกลุ่มคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ภายใต้แบรนด์ The Base, The Line, The Muve, XT, dcondo และ CondoMe เป็นต้น โดยในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แสนสิริยังได้เตรียมปิดการขายอีก 12 โครงการ ในคอนโดมิเนียมกลุ่มแบรนด์นี้  

นอกจากนี้ แสนสิริยังสร้างวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กระแสเงินสดเป็นเรื่องสำคัญ การมียูนิต สร้างเสร็จพร้อมขาย หรือ Stock ลดลงเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้แสนสิริสามารถชำระคืนเงินกู้ธนาคารจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ได้ 100% ซึ่งหมายถึง แสนสิริไม่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระคืนในกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ซึ่งการมีวินัยทางการเงินนับเป็นปรัชญาสำคัญของแสนสิริในการดำเนินธุรกิจมาตลอดเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ทำให้แสนสิริอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ดีและมีคุณภาพ เป็นที่วางใจของธนาคารและนักลงทุนเสมอมา ทั้งนี้ การคืนหนี้ได้เร็วกว่ากำหนดก็เท่ากับว่าแสนสิริ สามารถลดค่าใช้จ่ายทางด้านการเงินไปในตัวอีกด้วย โดยปัจจุบันแสนสิริมีสภาพคล่องอยู่กว่า 17,000 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงินมากที่สุด

สำหรับไฮไลท์แผนธุรกิจครึ่งปีหลัง แสนสิริจะรุกบ้านเดี่ยวแบรนด์เศรษฐสิริอย่างต่อเนื่อง จากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และการตอบรับที่ดีของตลาดบ้านระดับลักซ์ชัวรีและซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี แสนสิริจึงเดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เศรษฐสิริ เพิ่มอีก 10 โครงการ มูลค่ารวม 21,900 ล้านบาท ครอบคลุมทุกทำเล ทั้ง รามอินทรา สายไหม เสรีไทย บางนา ราชพฤกษ์ พรานนก และ พุทธมณฑล สาย 1 เป็นต้น ซึ่งนับเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการคอนโดมิเนียมที่จะทยอยเปิดตัวใหม่อีกกว่า 10 โครงการในช่วงครึ่งหลังของปีจากสถานการณ์ดีมานด์ตลาดคอนโดมิเนียมทยอยฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน แสนสิริจึงมีโอกาสที่จะทำยอดขายได้เกินเป้า 55,000 บาท ตามแผนที่วางไว้ในช่วงต้นปี

“แสนสิริยังคงวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการตอบรับความต้องการลูกค้าในทุกเซกเมนต์ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด  “YOU Are Made For Life” ซึ่งกลยุทธ์ในการเปิดตัวสินค้าในแต่ละกลุ่ม สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยใช้ข้อมูลทางตลาดเป็นตัวชี้นำ ทั้งนี้ ในปีนี้แสนสิริจะเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในกลุ่มลักซ์ชัวรีที่ยังคงได้ผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จากตลาดคอนโดมิเนียม ที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จะยิ่งส่งผลดีต่อยอดขายและผลประกอบการของบริษัทฯ ขณะที่ การจัดตั้งรัฐบาลที่เสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับการท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้าสู่ใกล้ระดับก่อนโควิดในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว และนับเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้แสนสิริมั่นใจว่าเรายังคงมีผลการดำเนินงานที่ On Track ในการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับยอดขายและผลประกอบการที่ดีที่สุดของบริษัทฯ ต่อไปในปีนี้ ” นายวิชาญ กล่าว